WELCOME TO AROKAYA HOUSE http://arokayahouse.siam2web.com/

ดิฉัน

 

  

 เป็นหู-เป็นตา

 

                                                          ศิเรมอร   อุณหธูป

ผะ               ผายลม

ผะ               แผ่วเสียง

ผะ ผะ ผะ      ผล็อย!!

               ดิฉันเป็นคนธาตุลมเสีย ท้องอืดง่ายมาก ถ้าหากมือไม้ไปคว้าอาหารที่เป็นธาตุลมเข้าปากเป็นคำแรกก่อนเลย

                ท้องเป็นอืดป่องแล้วยังโตหลามออกมา อย่างกับคนท้องสัก 3 เดือนจนถึง 5 เดือนก็เคยออกบ่อยไป หลามใหญ่ออกมาคาสายตาตัวเอง

                พอใครเห็นเข้าก็จะทักว่า อื้อฮือ! สมบูรณ์จังนะช่วงนี้ อ้วนขึ้นนะ ไปทำอะไรมา

                ไม่ได้ไปทำอะไรเลยนอกจากเอาลมเข้าท้อง กินผิด กินธาตุลมเข้าไปก่อนทุกทีนี่แหละ

                เพื่อนๆทั้งคู่รู้จักก็มักมองหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา คล้ายยายนี่พูดแก้ตัวไปส่งๆอ้วนแล้วไม่ยอมรับ อะไรประมาณนั้น

                เจอกัน ถามอีก ก็จะตอบอย่างเดิมอีก เพราะตอบอย่างอื่นไม่เป็น ก็มันเป็นอย่างนี้จริงๆนี่นะ จะให้เป็นอื่นตอบเป็นคำอื่นก็มันไม่เคยเป็นเหตุผลอื่นเลย ในชีวิตของผู้หญิงคนนี้

                --นอกจากกินผิดธาตุ

                ผู้ที่มีธาตุอย่างเดียวกับดิฉัน จึงควรกินหม่ำอาหารที่เป็นธาตุดิน เป็นคำแรกก่อนเสมอ ทำนองเอาดินปูพื้นไว้ หรือให้ดินตกถึงท้องก่อนพาลมเข้าไป

                --หน้าท้องก็จะยังคงแบนราบ หรือแบนนูนน้อยนิดเป็นปรกติของมันอยู่ตามเดิม ไม่อืดป่องออกมาจนบวมหลามเห็นทนโท่ อย่างกับจะพาออกโชว์งานวัดได้เดี๋ยวนั้น มหัศจรรย์หญิงท้องป่อง!!

                แรกทีเดียว ดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นหญิงพุงป่องเป็นปรกติ ค่าที่ชอบอาหารฝรั่งมาก จึงคิดว่าตนกินอาหารพวกนี้บ่อย ไขมันจึงไปกองค้างกันที่พุงอุตลุด ที่ไหนได้

                ลมที่ขังค้างอยู่ในพุงน้อย ที่ชักเริ่มย้อยและยื่นออกออกนี้ ถ้าหากเราสามารถระบายมันออกไปได้บ้าง มันก็ย่อมยุบตัวลง ตามจำนวนลมที่เราสามารถพามันออกไปเสียได้

                นั่นคือ   ควรผายมันออกไปตามธรรมชาติ

                แล้วใครจะกล้าทำ ผายลมเพ่นพ่านไปทั่ว นึกอยากให้ "ปู้ดป้าด"ออกมาสมใจเมื่อไหร่ก็ทำได้ทุกที่ เป็นได้ถูกตราหน้า ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆที่ลมเขาอยากออกมาแล้ว อยากออกมาเดี๋ยวนี้ บัดนี้แล้ว โธ่!

          แต่จำต้องขังเขาไว้ เอ๊ย ขังมันไว้ เก็บกักไว้ อั้นไว้ อุบไว้ อุดไว้

                จนบางครั้งอัดอั้นจนตันขึ้นมาถึงยอดใจ ร่ำๆลมจะใส่ล้มตึงได้เลยว่างั้น ก็ลมของเรามันออกมหาศาลปานนั้น

                เคยนั่งหน้าเซียว จนหน้าออกเขียวๆอยู่ที่บ้านเพื่อนชาวอิตาเลียน ที่ต้องไปพักค้างคืนกับครอบครัวของเขา ก่อนขึ้นเครื่องไปยังระเมอเยอรมันในวันรุ่ง

                เขาก็ดีใจหาย เอาแต่นั่งชวนคุยรับรองเราดีเกินเหตุเกินกว่าที่ลมคิดอยากสร้าง-ทำเหตุมาตั้งค่อนชั่วโมงแล้ว เขาก็ยังชวนคุยนั่นคุยนี่ ลมชักตีย้อนอยากออกที่หูแล้วซีคะ

                หน้าหนาวเสียด้วยเดือนนั้น อพาร์ทเมนท์ของเขาก็ปิดหน้าต่างสนิทดิบดีทุกบานด้วย แย่แล้วตู รับทานแต่ธาตุลมมาทั้งวัน

                มื้อเย็นก็เพิ่งหม่ำสปาเก็ตตี้ไข่ที่ไม่ใส่น้ำมันมะกอกเลย โดยฝีมือเมียเขา ที่รู้ว่าหญิงเอเชียนนางนี้ขณะนั้นแพ้กลิ่นน้ำมันมะกอกมากๆ แล้วต้องเจอทุกมื้อทุกวันทุกคำ เธอจึงแสนสงสาร

                แต่เส้นสปาเก็ตตี้ หรือไม่ว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิดมีลมผสมอยู่เยอะ เช่นเดียวกับเส้นขนมจีนของเรา ยิ่งใช้แป้งหมักด้วยแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเรากินหม่ำขณะที่เส้นเย็นตัวลงทำให้ลมกำเริบ เกิดลมมหาศาลขึ้นในท้องของดิฉัน

                เป็นมวลมหาศาลขึ้นๆ แล้วกำลังทำอาการสว้าน คว้านคว้างขึ้นๆลงๆวนกันอยู่นัวเนียอุตลุด ในกายสาวอายุ 26 ของดิฉันตอนนั้น

               "เมื่อไหร่เขาจะลาไปนอนเสียที โธ่! จะตายอยู่รอมร่อแล้วนะ!!.."

                "น่าเกลียดไหมถ้าเราจะชิง goodnight เพื่อจะได้ไล่เขาไปจากห้องรับแขกของเขา ที่ที่เราจะต้องนอนบนเก้าอี้ตัวนี้ แล้วจะได้ทำอะไรที่เราอยากทำให้ได้เสียทีเดี๋ยวนี้เลยดีไหม?!"

              "แต่มันคงจะดังมากเลยแหละ ลมแน่นตึงตัว จ้าละหวั่นอย่างนี้"

                "บ๊ะ! แล้วถ้ามันเหม้นเหม็นด้วยล่ะ มิยุ่งกันใหญ่เหรอ  ธ่อเว้ย! กลับห้องคุณไปเถอะ ฉันพูดตอบอะไรคุณไม่ถูกแล้ว ข้างล่างมันอยากพูดตอบ-แทนมาตั้งนาน

                มันโวยวุ่นวายกันมาตั้งนานแล้วและมันกำลังเล่นงานฉันจนหน้าซีด หน้าเขียว ใกล้แล้วนะ ใกล้จะถึงระเบิดเวลาของมันแล้ว..!"

                ค่ะ ลมสว้านเอาจนมืดไปทั้งหน้าใกล้เป็นลมอยู่รอมร่อ สวรรค์จึงเพิ่งเข้าข้าง เขาลุกขึ้น "เชา เชา"สวัสดีล่ำลาไปนอน ก่อนนาทีวิกฤตจะขาดผึงลงต่อหน้าต่อตาเขา หรือไม่ก็เจ้าระเบิดเวลาอาจจะด้านล้มตึงลงต่อหน้าเขา เป็นได้ทั้งสองอย่าง แต่-----

                กระนั้นก็ตาม ต้องหาทางเปิดหน้าต่างสักบานก่อนค่าที่ผิดที่ผิดน้ำผิดอากาศผิดอาหารมาหลายวัน ระเบิดเวลาลูกนี้จึงน่าจะเหม็นพิลึกกึกกือแน่ๆ

                มือเริ่มสั่นงันงกขณะฝืนบังคับเบื้องล่างต่ออีกนิด โอย! ไม่ไหวแล้วเป็นดังคาดเจ้าค่ะ กลิ่นถล่มทลายห้องหับเพราะผิดที่แล้วยังผิดหน้าต่าง เปิดไม่เป็นนี่สิแย่กว่าอะไรทั้งหมด

                กลิ่นขังเต็มที่อยู่ในนั้น ถ้าเขาเธอเปิดห้องนอนออกมาอาจสลบคาประตูค่ะ

                เริ่มควานหาไม้ขีดไฟ เอาเจ้าฟู่ฟอสฟอรัสดับกลิ่นตอสระอด-ตดมาทุกหน ในครอบครัวของดิฉันสอนกันมาอย่างนี้เพราะเป็นครอบครัวลมมวลมีมหาศาล

                กว่าจะพบไม้ขีดไฟก็เล่นเอาประสาทเสียหาย จำได้ว่าได้ยินเสียงเปิดประตู แต่ไม่ได้ยินเสียงใครเดินออกมา คงเข้าไปสลบกันอยู่ข้างในทั้งครอบครัว

                ในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ขณะนั่งอยู่บนเครื่องพาเหินสู่แฟรงค์เฟิร์ต มีถ้อยคำปรากฏให้คนจดวัยปัจจุบันหัวเราะขันตัวเองได้ทุกครั้ง  ว่า----      "การไม่ได้ตดนั้น ทำให้ตายได้จริงๆ"

                การผายลมนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ ในระบบธรรมชาติของทั้งมนุษย์และสัตว์ หมาแมวก็ผายลมเป็นทั้งนั้น แต่คนมีเรื่องมารยาทมาสกัดกั้น ทำให้เกิดการต้องเคารพกฎกติกาสังคมกัน

                กันถูเขม่น กันถูกนินทา ว่าร้าย กันถูกโจมตีใส่ทั้งสีทั้งไข่เป็ดไก่นกกระทาเต่า

                ต้องกันตัวเองไว้จากเรื่องเล่าเมาปากเหล่านี้ ต้องผายลมให้เป็นที่เป็นทาง ในห้องน้ำห้องท่า ดังเท่าไรไม่มีใครโวยว่า

                ไม่ต้องอายใคร ผายออกไปให้หมด ไม่เช่นนั้นลมจะตีย้อน

                จากล่าง ตีย้อนขึ้นข้างบน ทำให้เกิดการทำลายขึ้นหลายอย่าง ที่รู้แน่ๆคือทำลายจุดยืนเสียอาการทรงตัว เป็นลมได้เนื่องจากการอั้นไว้ต้องเกร็งเส้นสายหลายเส้น เช่น เส้นตั้งแต่สะดือถึงท้องน้อย เส้นฝีเย็บ ของผู้ชายก็คือเส้นอวัยวะสืบพันธุ์

                ทำให้สองเส้นนี้ค้างแข็ง ก้าวขาไม่ออกได้ หากเส้นที่ทารุณที่สุดขึ้นถึงศีรษะ ทำให้ปวดหัว ตาพร่าพราย อั้นบ่อยๆผลตกค้างทำให้กระเพาะปัสสาวะอ่อนแอ สะเทือนไปถึงไตได้

                การผายลมส่วนมากถ้าผายเสียงดังๆกัมปนาท มักปราศจากกลิ่น แต่บางทีมันก็ไม่แน่เสมอไป อย่าหลงเชื่อพวกผายเสียงดังนัก เราอาจผิดหวัง

                ประเภทผายเสียงค่อยเสียงเบา อ้อมแอ้มผายกระมิดกระเมี้ยนผาย หรือผายไร้เสียงนี่สิ ผู้คนจับก้นใครดมก็ไม่ได้ ยังชิงวิ่งหนีกลิ่นกัน จนป่า(คอนกรีต)ราบ

                คุณยายกับป้าปุยสอนเด็กๆให้กินข้าวสวยเข้าไปหนึ่งคำ นำร่องก่อนเสมอ ก่อนคว้าขนมจีนซาวน้ำ ขนมจีนน้ำพริก ขนมจีนน้ำยา ขนมจีนแกงเนื้อ เข้าปาก

                เพราะลมจากเส้นขนมจีนจะเล่นงานท้องอย่างเรา บางครั้งถึงแก่ถ่ายท้องเลย ถ้าหากเกิดท้องว่างมากๆแล้วตักขนมจีนใส่ปากเคี้ยวกันเดี๋ยวนั้น ลมโจมตีทันทีเดี๋ยวนั้นเหมือนกัน

                ข้าวสวยเป็นธาตุดิน 100%

                ครั้นใส่น้ำลงไป ต้มเป็นข้าวต้ม ข้าวต้มกลายเป็นลมได้เดี๋ยวนั้นเพราะน้ำเข้าไปแทรกตัว ทำให้ก่อลม เกิดลมกำเริบ

                จึงควรกินข้าวต้มขณะตักขึ้นมาร้อนๆลงชามเท่านั้นจะเป็นการดีต่อช่องท้อง อาศัยลมปากเป่าไล่ความร้อนจัดเอา ฟักทองเป็นธาตุดิน แต่พอน้ำแทรกตัวเข้าไป เป็นลมผสมอีกแล้วจ้า

                ผักผลไม้มีทั้งเนื้อแน่นเนื้อโปร่ง กินหม่ำคำแรก ลมกำเริบเสิบสานเต็มช่องท้อง พร้อมพาออกงานวัด

                ยิ่งประเภทถั่วด้วยแล้ว ลมอึงคะนึง ปั่นป่วนชวนหัวแก่ผู้อื่น เพราะเขามองเป็นท้องเราแล้วจะรู้สึกมหัศจรรย์หญิงท้องป่องคนนี้   ร่างกายของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ธาตุเจ้าเรือน ธาตุเจ้ารังเดิม ก็แตกต่างกันทุกคน      คนๆหนึ่งต่อให้กินขนมจีนเป็นเข่งก็ไม่ทำให้เกิดลมมากมายแต่อีกคนแค่คำเล็กๆคำเดียว ลมมาเป็นวรรคเป็นเวร  ค่ะ ดิฉันกลายเป็น มหัศจรรย์หญิงท้องป่อง ก็ด้วยประการเหล่านี้เนืองๆบ่อยๆ ประจำเลยว่างั้น

                กินยาธาตุสูตรที่ถูกกับตัวก็ผายออกมา แฟบลงหน่อย แต่ตัวเองคิดว่าแฟบมาก หากวันรุ่งป่องหลามรุนแรงอีกกระทั่ง----

                แน่นอน มีเรื่องเล่าเด็ดดวงเชียวค่ะ แต่ก่อนที่จะเล่าถึงเรื่องตัวเองต่อ เพิ่งนึกถึงแหม่มวัย 60 กว่าในร้านขายหนังสือ Barnes&Noble ในชิคาโกราว 3 ปีก่อน รู้สึกจะแถวโอลด์ออร์เฉิด-ย่านโปรด

                วันนั้น ดิฉันอยู่ในกลุ่มซึ่งนั่งพลิกอ่านแม็กกาซีนของร้าน บนม้านั่งยาวทำด้วยไม้แผ่นเดียวกับหนุ่มสาว 1 คู่ หนุ่มใหญ่ 1 คน ดิฉันและแหม่มวัย 60 ปลาย เรียงตามลำดับ

                ก็ได้นั่งกันอยู่นานทั้งหมด เพื่องอกราก ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาอ่านเล่มของตน

                จู่ๆโดยไม่มีใครคาดถึงก็มีเสียงดังมาก ดังป๊าดใหญ่! ช่างหนักแน่นกัมปนาทไปด้วยมวลลมมหาศาล จนไม้กระดานแผ่นเดียวกันแต่ตรงที่ดิฉันนั่งอยู่นั้นสะเทือนไปด้วย รู้สึกคมชัดมาก

                โอ๊ะโอ๋! เจ้าคุณป้าแน่แล้ว เพราะมันสะเทือนเลื่อนนั่นมาจากทางฝั่งคุณป้าซึ่งนั่งอยู่ริมขวาสุด

                รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะลมสามารถดีดดันไม้บริเวณนั่นได้น่ะค่ะ แถมกลิ่นยิ่งคมชัดกว่า อื้อฮื้อ! ต้องรีบยกมืออุดจมูกตัวเองไว้ ขนาดนั้น!

                ถ้าลุกหนีกลิ่นร้าย อาจถูกเหมาว่าคือผู้ประทุษร้าย วางระเบิดกลิ่นเสียเอง จึงทนนั่งต่อ

                แต่เจ้าคุณป้าน่าจะรู้ตัวว่าดิฉันจับก้นป้าดมไม่ได้ แต่กระดานกับกลิ่นมันฟ้องใกล้ชิดติดกันออกอย่างนี้ เจ้าคุณป้าเลยรีบนั่งแบบผินหลังให้ ไม่รับรู้โลกภายนอกไม้กระดานแผ่นเดิมอีกต่อไป

                ดิฉันจึงเริ่มหันไปเมียงดูเจ้าคุณป้า แล้วโบกแม็กกาซีนให้ลมไหวไปมา สาวหนุ่มข้างซ้ายสุดนั่งอมยิ้มอยู่ในหน้า แต่หนุ่มใหญ่เผ่นหายไปตั้งนานแล้ว ไม่มีนั่งอึดอดทนเพราะกลัวคนอื่นปรักปรำผิดตัว

                นี่ถ้าเพื่อนรักทั้งหลายอยู่กันตรงนั้นด้วย ดิฉันไม่รอดจากการถูกปรักปรำแน่

                วันนั้นจึงได้รู้รสตดฝรั่ง ว่าพิษสงร้ายกาจขนาดไหน ร้ายตามอาหารการกิน กับการหมักหมมไว้นานปานใด

                ตดชาติไหนเหม็นร้ายกว่ากัน น่าจะมีการทำสำรวจไว้หรือแข่งขันพิสูจน์กลิ่นกัน พร้อมกรรมการจากทุกชาติช่วยกันดอมดมเป็นสักขีพยาน

                ดิฉันถูกทั้งอาทั้งน้าหลอกแต่เด็ก ว่าผู้ผายลมดังๆออกมาไม่ต้องวิ่งหนี ไม่เหม็นหรอกพวกนี้ แต่พวกที่ฟี้ด..ด เบาๆเข้าหูเมื่อไหร่ วิ่งโกยจ้ำอ้าวไปก่อนเลย

                คือก่อนที่กลิ่นจะโชยชายจนสลบตายกันทั้งวงเด็กวงผู้ใหญ่ หรือวงเด็กผสมผู้ใหญ่ก็ตายทั้งหมดเหมือนกันอยู่ดีแหละ

                ยิ่งหน้าสะตอด้วยหล่ะก็ เผ่นก่อนใครเพื่อน ขอไปตายเอามีดหน้า(ไม่ชอบพูดเหมือนคนอื่นมังคะ จึงเลือกมีดแทนดาบ แต่พูดทีไรกลายเป็นไปตายมืดหน้าทุกที กว่าจะได้ตายต้องรอค่ำเสียก่อน)

               โอยตาย ! เล่าต่อเรื่องเด็ดดวงของตัวเองไม่ทันแล้ว เพราะคงยาวใจหายใจวายเสียก่อน ถ้าเกิดเล่าไม่จบตกหน้ากระดาษไปล่ะก็ไปตะกายขึ้นในเล่มหน้าคงจะไม่ปะติดปะต่อแน่แท้เลยท่าน จำเราจะต้องยุติเรื่องตดชั่วครู่  ไว้ค่อยผะ แผ่วเสียง ผะ  ผะ  ผายลมกันต่อในฉบับหน้า ทั้งจะขอแนะนำยาชื่อ "จตุผลาธิกะ"

                17 พฤศจิกายน 2547

 

 

มหัศจรรย์หญิงท้องแฟบ

 

               วันที่ดิฉันได้ "จตุพลาธิกะ" มาจากน้องดา -น้องร่วมโลกที่คิดถึงห่วงใยกันเป็นระยะ เธอบอกว่าพี่เป๊กก์ลองกินดูนะคะ แต่ควรดื่มน้ำตามเข้าไป 1 แก้ว (ธรรมดา) ทุกหนตามสูตร "บ้านอโรคยา"มันจะดีสำหรับพี่นะ

                ชอบอยู่แล้วสิ่งที่เป็นธรรมชาติ แต่ก่อนดื่มขออ่านแผ่นสรรพคุณที่แนบมาด้วยก่อน ระบุว่าเป็น "น้ำสมุนไพรถอดรหัสภูมิปัญญาจากพระไตรปิฏก" อันประกอบด้วย "ผลไม้ให้คุณ 4 อย่าง"

                สมอเทศ สรรพคุณระบายอ่อนๆ ระบายเสมหะ ระบายลม รู้ถ่ายรู้เปิดเอง(หูรูดของทุกระบบจะทำงานปกติ)

                สมอไทย สรรพคุณแก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้น้ำดี รู้ถ่ายรู้ปิดเอง แก้พิษร้อนภายใน แก้ลมจุกเสียด ถ่ายพิษไข้ คุมธาตุ

                แก้ไอเจ็บคอ ขับน้ำเหลืองเสีย แก้อาเจียน บำรุงร่างกาย แก้นอนสะดุ้งผวา แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ แก้อ่อนเพลีย แก้ตับม้ามโต แก้ท้องร่วงเรื้อรัง

                สมอพิเภก สรรพคุณแก้เสมหะจุกคอ ทำให้ชุ่มคอ แก้โรคตา แก้ธาตุกำเริบ บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวง

                มะขามป้อม มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 20 เท่า แก้โรคลักปิดลักเปิด แก้ไอ แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ลดไข้ ขับปัสสาวะ ระบายท้อง แก้บิด บำรุงหัวใจ ฟอกโลหิต

                นำผลไม้ทั้ง 4 อย่าง "มาหมักดองเป็นยา เพื่อใช้ในการบำบัดรักษาโรคตั้งแต่สมัยพุทธกาล"

                ดิฉันอ่านพอสังเขป เก็บข้อความที่เหลือไว้ก่อน ลงมือกินตามสูตรคือ 2 ช้อนโต๊ะ+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำ 1 แก้ว ไม่ยักรู้สึกอะไร เช้ยเฉย ลมแน่นคับพุงอย่าง "มหัศจรรย์หญิงท้องป่อง"ตามเคย

                ตกกลางคืนก่อนนอนจึงใคร่ครวญดู ในเมื่อธาตุลมในกายของตนไม่ใคร่เหมือนคนอื่น แทนที่จะกิน 1-2 ช้อนโต๊ะตามที่ระบุไว้ จึงเพิ่มเองเป็น 5 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำ 1 แก้ว แล้วล้มตัวลงนอน(หนนี้ไม่ได้ผสมน้ำผึ้ง)

                ปรกติดิฉันเป็นคนนอนยากนอนลำบากเนื่องจากบงการตัวเองให้เป็นเช่นนั้น หมายความว่าถึงเวลานอนไม่รู้จักนอนจนกระทั่งนาฬิกาชีวภาพภายในตัวเสียหายนับหนไม่ถ้วน

                ดังนั้นส่วนใหญ่ในชีวิตของดิฉันจึงมันหลับตาไปจนฟ้าสาง (ตาหลับ ข้างในไม่หลับตาม) แล้วค่อยผล๊อยหลับไปเอง ตอนที่คนอื่นพากันตื่นนอน

                คืนนั้น สวิตซ์ภายในค้างเหมือนเคย หากความที่อึดอัดในท้องเป็นพิเศษ ไม่รู้จะนอนท่าไหนดีจึงกลิ้งไปกลิ้งมา

                ทั้งกลิ้งคว่ำแล้วก็กลิ้งหงาย พอจะนึกออกไหมคะ คือลมในท้องเยอะย่อมอึดอัดน่าดู ไม่ยอมผะ ผะ  ผายลมปุ๋งออกมาเสียที ยกแข้งยกขาก็แล้ว

                เลยได้ความคิดวาบเข้ามา ว่าถ้าหากเรากลิ้งมากลิ้งไปแล้วก็กลิ้งไปกลิ้งมา มันน่าจะได้มุมของมันเพื่อทำช่องให้เกิดขึ้นเองโดยปริยาย ได้จังหวะว่างั้น

                ค่ะ  จึงม้วนตัวกลิ้งไปกลิ้งมาอีท่าไหนก็ไม่ทราบ หากตั้งแต่เกิดมาเป็นผู้เป็นคน จนถึงวันนั้นชั่วโมงนั้นนาทีนั้น ยังไม่เคยผะผะผะ ผายลมดังสนั่นอย่างกับเกิดระเบิดลงกลางเตียงลูกเบ้อเริ่มเทิ่มขนาดนี้มาก่อน!

                สะดุ้งตกใจเองเลยค่ะ เสร็จแล้วก็หัวเราะขันตัวเองที่ทำระเบิดลูกพิเศษขึ้นกลางดึกได้สนั่นพันลึกปานนั้น มันดังกัมปนาทเสียยิ่งกว่าของคุณป้าฝรั่งชาวชิคาโกในร้านหนังสือ ที่เล่าให้ฟังฉบับที่แล้ว

                แล้วท้องขนาดแตงโมบางเบิดสองใบรวมกัน---ยุบพลันทันตาเดี๋ยวนั้นเลย กลายเป็นมหัศจรรย์หญิงท้องแฟบทันทีทันควัน รู้สึกแปลกประหลาดใจตัวเองมากๆ  โอ้โฮ!

                หายวับเกลี้ยงท้องจริงๆอย่างกับเล่นกล

                ยาทุกชนิดที่เคยกินมาเพื่อลดลมกำเริบเสิบสานที่ปั้นเป็นลูกแตงโมอย่างกับคนท้อง 3-5 เดือน ไม่เคยออกฤทธิ์ต่อพุงยักษ์ของดิฉันได้เยี่ยงนี้

                คืนนั้นก็เลยขอคารวะต่อ ภูมิปัญญาจากพระไตรปิฏกและต่อผู้ที่หยิบนำมาทำเป็นน้ำสมุนไพร "จตุผลาธิกะ" ให้ได้ดื่มกินกัน

                ดิฉันคิดเองว่า "จตุผลาธิกะ"เข้าไปเซาะซอนเอาลมเสียซึ่งหมักซุกหมกค้างอยู่ตามซอกต่างๆตามช่องท้องมานานนมกาเล ทั้งใหม่ทั้งเก่า-------รวบรวม------รวมๆๆๆได้ทั้งหมด แล้วดันออกมาเป็นมวลแน่นมหาศาล จึงราวกับระเบิดลูกพิเศษดังกล่าว

                บึ้ม..ม..ม..ม!! แฟบแบนแต๊ดแต๋ทันที เหมือนยางรถถูกปล่อยลม

                พบยาถูกกับธาตุตัวเองแล้วกระมัง จึงดูเพรียวขึ้นทันตา แม้ต่อมาอาจท้องโตอีกเพราะกินผิด แต่จะไม่มีวันใหญ่เท่าเก่าอีกต่อไป

                แน่นอน คืนนั้นจึงเป็นคืนแรกที่นอนพุงแฟบเสมอเตียง รีบค้นแผ่นพับขึ้นมาอ่านต่อเลย เอิงเงย ขออ่านให้ฟังดังๆตรงนี้ด้วยเลยนะคะ ได้รู้จัก "บ้านอโรคยา"พร้อมกัน

                ดังที่บอกแต่ต้นเรื่องว่าใช้วิธีหมักดองผล 4 ชนิด สกัดเป็นยาเพื่อใช้ในการบำบัดรักษาโรค รักษาได้หลายโรคเสียด้วยสิคะ (ไว้รออ่านภายหลัง) แต่--------

        ทำไมต้องสกัดด้วยวิธีหมัก? ในแผ่นนั้นโปรยว่า

                "สาเหตุที่บ้านอโรคยาเลือกสกัดด้วยวิธีหมักเพราะการหมักสามารถสกัดสารสำคัญของสมุนไพร ให้ออกมาอย่างนุ่มนวล (อย่างน้อย 180 วัน) จึงทำให้โครงสร้างโมเลกุลของสารอาหารถูกรบกวนน้อยที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีสกัดสารอื่นๆที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆในการสกัด ถึงแม้จะวัดค่าวิเคราะห์ทางเคมีเท่ากัน แต่การวิเคราะห์ทางชีวภาพจะให้ค่าต่างกันมาก เพราะการเรียงตัวของโมเลกุลผิดกันนิดเดียวก็มีผลต่อคุณภาพของสารสกัดนั้นๆ

                พร้อมกันนั้น การหมักยังไม่มีการปนเปื้อนของสารละลายอื่นใดเลย เนื่องจากเป็นกระบวนการทางธรรมชาติไม่ใช้สารเคมี หากสกัดด้วยวิธีอื่น อาจมีสารเคมีที่ใช้ในการสกัดตกค้างอยู่ได้

              นอกจากนี้การหมักยังทำให้เกิดกรดอินทรีย์ ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการดูดซึกทางธรรมชาติ และช่วยในการแตกตัวของสารสกัดสมุนไพรอีกด้วย"

               กลุ่มจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่เป็นตัวขับสารชีวภาพออกมาดังกล่าว ยังไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์อีกชนิดหนึ่งขึ้น (ซึ่งตรงข้ามกับยาปฏิชีวนะที่ทำลายจุลินทรีย์ทุกชนิด กลุ่มจุลินทรีย์ดังกล่าวคือ "โปรไบโอติค" หรือ "เชื้อชูชีพ" ซึ่ง "สามารถก่อประโยชน์ต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต เจ้าบ้านที่มันอาศัยอยู่ เช่น

                 - ทำหน้าที่ย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไป ให้เป็นสารที่มีประโยชน์ เช่นกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ

                 - ช่วยปรับสมดุลสุขภาพให้กลับคืนสู่สภาพปรกติ

                 - ปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆให้มีประสิทธิภาพ (สงสัยจะเป็นข้อนี้เอง กับ ข้อที่สอง ที่ให้ผลแม่นฉมัง เต็มไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล ต่อช่องท้องของดิฉัน)

                - ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น

                - ปรับสมดุลจำนวนของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ (โดยปรกติแล้ว ต้องมีจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ 6 ส่วน ต่อจุลินทรีย์ก่อโทษ 1 ส่วน จึงจะมีสุขภาพดี)"

                ในแผ่นพับยังบอกด้วยว่า ผู้ที่คิดดื่มจตุผลาธิกะ "ควรมีการเสริมอาหารด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีอยู่ในผักผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ขัดสี (เช่น ข้าวกล้อง) อาหารที่มีเส้นใย ด้วย จะช่วยเพิ่มจำนวนเชื้อชูชีพในทางเดินอาหารให้มากขึ้น

                และเชื้อชูชีพจะมีอายุนานมากขึ้น ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันดี สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว......

                วันที่จตุผลาธิกะใกล้หมด ดิฉันรีบไปเยือนบ้านอโรคยา สุดซอยนวมินทร์ 44 วันนั้นไม่พบเจ้าของบ้าน พบแต่ลูกสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งจะมีเรื่องเล่าที่สำคัญต่อตัวเธอเองนักในฉบับหน้าก็แล้วกันค่ะ

                แต่ในวันที่พบกันหนแรกนั้นยังไม่มีเรื่องเล่า เพราะเพิ่งรู้จักกัน เธอนำน้ำสมุนไพรตัวอื่นมาให้ลองดื่ม ดูรส ดูสรรพคุณ

                จิตใจของดิฉัน อย่างว่าแหละค่ะ จดจ่ออยู่แต่จตุผลาธิกะตัวเดียวจริงๆ บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งเจาะจงมาซื้อน้ำสมุนไพรตัวนี้เช่นกัน

                หลังจากดิฉันเดินดูเดินชิม ได้เหลียวไปพบว่าผู้ชายคนนั้นซื้อจตุฯจำนวนเยอะมากๆ น่าจะเกินสองโหลด้วยซ้ำไป

                ด้วยความเป็นดิฉัน ซึ่งซื่อๆปนบื้อ ได้ก้าวเข้าไปหาเขาแล้วออกปากถามขึ้นว่า รับไปขายที่ไหนหรือคะ ถ้าใกล้บ้านจะได้ตามไปซื้อ เพราะมาถึงนวมินทร์ค่อนข้างไกลน่ะค่ะ

                หนุ่มกลางคนรีบปฏิเสธ พลางแย้มให้รู้ถึงประโยชน์อื่นของจตุผลาธิกะที่ให้คุณแก่ครอบครัวของเขาว่า

                "ซื้อไปกินเองทั้งหมดครับ . ." (จุดๆนี้หมายถึงจำเรื่องราวไม่ได้ทั้งหมดว่าใครเป็นใคร ขอโทษไว้ที่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ)

                คือมีคนหนึ่งในครอบครัวของเขาเป็นมะเร็งลำไส้ประมาณนั้น แล้วได้กินจตุผลาธิกะอย่างต่อเนื่อง(ไม่ได้ซักว่านานเท่าใด) ดีวันดีคืนขึ้นมาจึงศรัทธาในยาตัวนี้ก็เลยกินกันทั้งบ้าน จึงต้องซื้อทีละจำนวนมากๆ

                อ้อ! ค่ะ! ดิฉันถึงบางอ้อแล้วก็ถึงบางอ้าวด้วย

                อ้าว! สรรพคุณยิ่งกว่ามหัศจรรย์หญิงท้องแฟบอีกหรือนั่น

                กลับถึงบ้านเลยตั้งใจอ่านแผ่นพับจนจบ ยาวออกอย่างนั้น เราก็อ่านเฉพาะประเด็นที่ช่วยให้ จากมหัศจรรย์หญิงท้องป่องกลายเป็นหญิงท้องแฟบเท่านั้น

                กลับมาดูคุณประโยชน์ที่ระบุไว้ในแผ่นพับ แจ้งว่า

                "ประโยชน์และวิธีการใช้น้ำหมักธรรมชาติที่ได้เอนไซม์และสารแอนติออกซิแดนท์มหาศาล

                - ช่วยชะลอความชรา (เซลล์ไม่ถูกทำลาย)

                - ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดการเกิดสิวฝ้ากระ

                - ช่วยปรับสมดุลร่างกาย

                - ช่วยป้องกันสาเหตุการเกิดมะเร็ง

                - ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปรกติ

                -ช่วยเรื่องระบบปัสสาวะผิดปรกติ กะปริบกะปรอย

                - ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

                - ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายดูดแคลเซียมได้ดีขึ้น

                - ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รวมทั้งบรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ โดยส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาว

                - สร้างวิตามินบี 12 ,เค และบีหลายชนิด

                - บำรุงเม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์

               - ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน

                - ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร

                - ช่วยล้างพิษ ขับเมือกมันในลำไส้เนื่องจากลำไส้ขดไปขดมา อาหารที่รับประทานเข้าไปประเภทไขมัน หรืออาหารย่อยยากจะเข้าไปติดตามซอกผนังลำไส้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารอื่นๆไปใช้อย่างเต็มที่ การขับล้างเมือกมันในลำไส้จึงเป็นสิ่งสำคัญ"

                บางอ้าวและบางอ้อเมื่อสักครู่ก่อนคือ เมื่อจตุผลาธิกะมีตัวต้านอนุมูลอิสระ (แอนติออกซิแดนท์) มากมายมหาศาลก็น่าจะทั้งป้องกันการเกิดและกำจัดยับยั้งการก่อตัวของอนุมูลอิสระ อันหมายถึงสาเหตุของการเกิดมะเร็งนี่เอง และ----------

                "นอกจากมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระแล้ว ยังทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลายอีกด้วย" -โอ้! (ตรงนี้ต้องเรียกบางโอ้)

                เมื่อดิฉันได้พบกับ "ศรีฟ้า   ชวนนทกิจ"  เจ้าของบ้านอโรคยาในวันหนึ่งจึงได้มีโอกาสนั่งลงพูดคุยกัน ยาวเสียด้วยซีคะ ทำไงดี ฉบับนี้ไม่จบอีกแล้ว

                พยายามให้จบดีกว่า เพราะฉบับหน้ายังมีน้ำสมุนไพรที่น่าสนใจตัวอื่น ที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม-เปลี่ยนคนๆหนึ่งให้กลายเป็นอีกคนได้!

                คุณศรีฟ้าเล่าว่า จตุผลาฯแรกๆไม่มีใครรู้จักเลย ทำยากเพราะต้องรอกระบวนการหมักนาน ไม่ได้คิดขาย แจกอย่างเดียว แต่ทุกคนบอกว่าตัวนี้ของเธอดีมากเลยนะ ก็เลยทำออกมา

                ต่อมาเพิ่งมาทราบจากงานวิจัย "มาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์น้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากพืชในท้องตลาดประเทศไทย" โดย ไชยวัฒน์ ไชยสุต, สาร์ทจีน ภีระจันทร์ และไมตรี สุทธิจิตต์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

                ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำหมักชีวภาพจากทั่วประเทศ เพื่อหาสารต้านอนุมูลอิสระ ปรากฏว่า-------

                "ท่านทดลองทั้งหมด 4 วิธี ไม่ว่าจะทดลองวิธีไหน ในทุกวิธี พบสารต้านอนุมูลอิสระในจตุผลาธิกะมากกว่าเพื่อนคือถึง 6,379.09

                ท่านโทรมาบอกอย่างตื่นเต้นมาก ว่าจาก 70 กว่าตัวอย่างเชียวนะ ท่านบอกโอ๊ย ดีมากเลย อะไรจะดีปานนี้ อยากจะส่งเด็กมาเรียนแผนไทยแล้ว เพราะตัวท่านทำแทบตายไม่เจอ กลับมาพบในจตุผลาฯ เยอะที่สุด มหาศาลเลย เราก็คิดว่าถ้าพบว่ามีแค่ร้อยกว่าก็ดีใจจะแย่แล้วนะ นี่เกินคาดมากค่ะ"

                แล้วเธอก็สรุปให้ได้ยินอีกทีว่า "มันล้างพิษได้ดี วิตามินซีสูง รู้สึกเขาจะเด่นเรื่องของภูมิแพ้ด้วย จะมีคนที่เป็นภูมิแพ้สุดๆมาถามหาตัวนี้กันเยอะมากค่ะ"

                แหม มหัศจรรย์สาวท้องแฟบ (แล้ว) คนนี้ก็ดันเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ทิ้งโยคะมาร่วมๆ 2 ปี เพราะปวดเส้นบริเวณแขนเรื้อรัง อาการแพ้ถือโอกาสกระโดดเกาะโพรงหายใจหมับทันที

                น่าจะสังเกตการทำงานของยาจตุผลาฯ ต่ออาการภูมิแพ้ของตัวเองเสียแต่บัดนี้เลย เพื่อจะได้ลาทีปีเก่า โรคเก่า กำเก่า ขอให้ผู้อ่านทุกคนแข็งแรงดี มีพละพลังค่ะ

6 ธันวาคม 2547


  

Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 184,121 Today: 12 PageView/Month: 199

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...